10 เป้อุ้มเด็ก ยี่ห้อไหนดี แบบไหนดี ปลอดภัยต่อลูกน้อย

เป้อุ้มเด็กนั้นสำคัญไฉน นอกจาก เครื่องปั๊มนม โลชั่นสำหรับเด็ก และอื่นๆอีกมากมาย วันนี้เรามาทำความเข้าใจกัน
เคยได้ยินคำว่า ‘ติดมือ’ ไหมครับ เป็นอาการที่แม่ๆ จะวางลูกน้อยจากอ้อมอกเพื่อไปทำภารกิจอื่นๆ ไม่ได้เลย เพราะวางทีไรลูกก็ร้องทันที แท้จริงการให้ลูก ‘ติดมือ’ นั้นมีแต่ข้อดี การหาอุปกรณ์ช่วยอย่างเป้อุ้มจึงสำคัญ แล้วการใช้เป้อุ้ม มีประโยชน์อะไรมากกว่าเพื่อให้พ่อแม่ทำงานได้สะดวกอีกบ้าง
1. มีงานวิจัยชี้ชัดว่า การใช้เป้อุ้ม ช่วยให้ลูกน้อยสงบ และไม่ร้องไห้มากถึง 45% ซึ่งเมื่อลูกไม่งอแง เขาจะได้เรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น ทำให้พัฒนาการด้านต่างๆ พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
2. ช่วยลดความเสี่ยงจากอาการหัวแบนเพราะนอนมากเกินไป และลดความเสี่ยงจากโรค SIDS หรืออาการไหลตายของเด็กทารกในช่วงขวบปีแรกโดยไม่ทราบสาเหตุ
3. ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหาร ป้องกันกรดไหลย้อนและอาการจุดเสียด
4. ช่วยทรงตัวและทำให้กล้ามเนื้อคอของลูกน้อยแข็งแรง
5. ช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมมากขึ้น เพราะได้สัมผัสกับลูกน้อยตลอดเวลา
6. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกน้อย ซึ่งช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ เพราะจะทำให้แม่ๆ ได้ออกไปเจอโลกภายนอกพร้อมๆ กับดูแลลูก

เป้อุ้มเด็กมีกี่แบบ

• เป้อุ้ม แบบมีโครง (Structured Carrier) มีจุดเด่นอยู่ที่ความคงทนแข็งแรง อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนท่าทางการอุ้มได้หลายท่าในชิ้นเดียว โดยมีทั้งการอุ้มแบบหันหน้าเข้าหาตัวผู้อุ้ม, อุ้มในท่านอน, อุ้มหันออกด้านหน้า, อุ้มเข้าสะโพก และสะพายหลัง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เป้อุ้ม แบบมีโครงที่วางขายอยู่จะเปลี่ยนท่าทางการอุ้มได้ 3 ถึง 5 ท่า เรียกได้ว่า รองรับการใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้คนอุ้มมากเลยทีเดียวค่ะ
• เป้อุ้ม แบบห่วง (Ring Sling) เป็นเป้ที่มีลักษณะคล้ายเปล มีสายสะพายหนึ่งข้างเพื่อรองรับน้ำหนัก มีห่วงสำหรับปรับขนาด ไม่มีฟองน้ำนิ่ม ๆ ซัพพอร์ตเหมือนเป้อุ้มแบบมีโครง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้มือของผู้อุ้มเป็นตัวซัพพอร์ต ส่วนในด้านดีไซน์นั้น หากเทียบกับเป้อุ้ม แบบมีโครงแล้ว มักดูสวยงามเรียบง่ายกว่า จุดเด่นของเป้ชนิดนี้ คือ สะดวกต่อการให้นมลูก จึงเหมาะสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนที่อยู่ในระยะให้นมบุตรค่ะ
• เป้อุ้ม แบบผ้าโอบอุ้ม (Wrap) เป็นเป้อุ้ม แบบคลาสสิก ที่ผสมผสานการออกแบบระหว่างผ้าห่อตัวและเป้อุ้ม มีทั้งแบบเป็นผ้าทรงสี่เหลี่ยมธรรมดาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูวิธีเพื่อห่อรัดตัวลูกเอง และแบบสำเร็จรูปที่ออกแบบมาให้สวมใส่ได้ง่ายและสะดวก ซึ่งบางแบรนด์ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายเสื้อยืดทั่วไป ผ้าที่ใช้จะมีลักษณะยืดหยุ่น โอบกระชับตัวเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนอยู่ในครรภ์ของมารดา จึงลดอาการงอแงของเด็กได้ดี รวมถึงกระจายน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

10 เป้อุ้มเด็ก ยี่ห้อไหนดี หาซื้อได้จากร้านค้าออนไลน์ชั้นนำ

เป้อุ้มเด็กที่ดีต้องเป็นแบบไหน

•  น้ำหนักสูงสุดที่รับได้
  การเลือกโดยคำนึงถึงน้ำหนักสูงสุดที่รับได้นี้ ไม่เพียงช่วยให้คุณแม่ประหยัดเงินในการซื้อเป้อุ้ม แต่ยังช่วยเซฟตัวลูกไม่ให้โดนรัด และเซฟคุณแม่ที่ต้องรองรับน้ำหนักเด็กๆ ด้วย
  
• อายุการใช้งานสูงสุด
  หนึ่งสิ่งที่หลายๆ คนไม่อยากซื้อเป้อุ้ม เพราะกลัวว่าจะใช้ได้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น กลัวว่าเป้อุ้มจะไม่สามารถขยายตามพัฒนาการของลูกได้ แต่เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้พัฒนาไปไกล จึงมีเป้อุ้มหลากหลายยี่ห้อที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 5-6 ปี เรียกได้ว่าซื้อ 1 ครั้ง ใช้ได้ตลอดไป
  
• ท่าอุ้มที่รองรับ
  เป้อุ้มเด็กที่ทำให้พ่อแม่สลับท่าอุ้มลูกน้อยได้มากเท่าไร จะยิ่งช่วยให้ทั้งพ่อและแม่สะดวกสบายมากเท่านั้น เป้อุ้มที่ดีควรอุ้มได้ 3-4 ท่าด้วยกัน ท่าพื้นฐานที่ว่า คือการอุ้มลูกไว้ด้านหน้าที่ลูกสามารถหันหน้าเข้าหรือออกจากแม่ได้ ท่าอุ้มด้านหลัง และท่าอุ้มด้านข้าง
  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่าอุ้มแต่ละท่าก็ควรเหมาะสมกับอายุของลูกด้วยนะ อย่างเด็กแรกเกิด ก็ควรเลือกท่าอุ้มให้ลูกน้อยได้หันหน้าเข้าหาอ้อมอกแม่ เพราะกล้ามเนื้อคอยังไม่เเข็งแรง ควรให้เป้ช่วยโอบอุ้มคอ
  
• การระบายอากาศ
  หนึ่งในสิ่งที่คุณแม่มักเจอคือการที่ลูกน้อยร้องไห้เพราะเป้อุ้มไม่ระบายอากาศ ทำให้เกิดผดผื่นขึ้นตามตัว ดังนั้น คุณแม่จึงควรเลือกเป้อุ้มที่ใช้ผ้าที่ระบายอากาศได้ และถ้ายิ่งใช้ผ้าตาข่ายจะยิ่งช่วยระบายอากาศยิ่งขึ้น
   
• ความอ่อนโยนของเนื้อผ้า
  เพราะผิวของลูกน้อยบอบบางและไวต่อสิ่งรอบข้างมาก ดังนั้น เราจึงควรเลือกเป้อุ้ม ที่ใช้ผ้าเนื้อละเอียดและนุ่มละมุน ผ่านการทดสอบมาตรฐานสิ่งทอว่าจะเป็นมิตรกับผิวคุณแม่และลูกน้อย เช่น OEKO-TEX หรือมาตรฐานสินค้าระดับสากลจากสถาบันทดสอบสิ่งทอ (The International Association for Research and Testing in the Field of Textile Ecology) (OEKO) จากประเทศสวิตเซอร์

•  การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์
  นี่คือสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่พ่อแม่ควรคำนึงถึงเลยค่ะ เพราะหากเราเลือกเป้อุ้มที่ไม่ได้ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ อาจมีผลกับร่างกายลูกน้อย และพ่อแม่ในระยะยาวได้เลย การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ที่ว่า คือการที่เป้อุ้มต้องมีแผ่นรองคอและหลังของลูกน้อย เพื่อช่วยในการพยุงไม่ให้คอพับลง โดยเฉพาะทารกแรกเกิดที่กล้ามเนื้อคอยังไม่เเข็งแรง นอกจากนั้น เป้อุ้มต้องช่วยพยุงให้ลูกน้อยนั่งในท่านั่งที่เหมาะสม นั่นคือ หัวเข่าต้องสูงกว่าก้น ไม่ปล่อยให้ขาลูกน้อยทิ้งลงพื้น แต่ต้องให้งอเป็นรูปตัวเอ็ม เพื่อป้องกันขาโก่งและกระดูกสะโพกหลุด ซึ่งการรับรองว่าเป้อุ้มนั้นดีต่อสะโพก ต้องได้รับการรับรองจากสถาบัน International Hip Dysplasia Institute International Hip Dysplasia Institute (IHDI) นอกจากดีต่อลูกแล้ว การออกแบบที่ว่ายังต้องดีต่อคนอุ้ม เป้อุ้มที่ดีต้องออกแบบสายรัดและสายพยุงบั้นเอวให้น้ำหนักลูกน้อยไม่กดทับร่างกายพ่อแม่ แต่ต้องช่วยกระจายแรงเหล่านั้น ซึ่งไม่เพียงทำให้อุ้มลูกได้สบายและนานขึ้น แต่ยังป้องกันไม่ให้พ่อ

•  การซักทำความสะอาด
  เหนื่อยจากการเลี้ยงลูกแล้ว คงไม่อยากเหนื่อยกับงานซักล้างอีก การเลือกเป้อุ้ม ที่สามารถซักทำความสะอาดด้วยเครื่องซักผ้าได้ คงดีกว่าการเลือกแบบซักมือเพียงอย่างเดียว เพราะเป็นธรรมดาที่เป้อุ้มอาจเลอะน้ำนมบ้าง เลอะน้ำลายลูกบ้าง ดังนั้น การซักล้างทำความสะอาดเพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรก โดยไม่ต้องออกแรงมากคงดีไม่น้อย

ท่าอุ้มเด็กโดยใช้เป้ มีทั้งหมด 6 ท่า ดังนี้

1. อุ้มทารกท่านอนสะพายไหล่ข้างเดียว

2. อุ้มสะพายด้านหน้า-ด้านหลัง โดยมีแผ่นประคองคอ หันหน้าเด็กเข้าหาผู้อุ้ม เหมาะสำหรับเด็กไม่เกิน 4 เดือน

3. อุ้มสะพายด้านหน้า-ด้านหลัง โดยมีแผ่นประคองหลัง (ไม่มีแผ่นประคองคอ) หันหน้าเด็กเข้าหาผู้อุ้ม เหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป

4. อุ้มสะพายด้านหน้า หันหน้าเข้าหาผู้อุ้ม ไม่มีแผ่นประคอง เหมาะสำหรับเด็กวัย 6 – 7 เดือนขึ้นไป เพราะจะมีกล้ามเนื้อแผ่นหลังและเอวแข็งแรง และสามารถนั่งเองโดยไม่ล้มได้แล้ว

5. อุ้มสะพายด้านหน้า หันหน้าออกจากผู้อุ้ม ไม่มีแผ่นประคอง สำหรับเด็กวัย 6 – 7 เดือนขึ้นไป

6. อุ้มสะพายด้านหลัง หันหน้าเข้าหาผู้อุ้ม ไม่มีแผ่นประคอง สำหรับเด็กวัย 10 – 12 เดือนขึ้นไป เนื่องจากเมื่อเด็กอยู่ข้างหลังผู้อุ้มจะไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้ จึงควรใช้กับเด็กที่สามารถสื่อสารหรือแสดงความต้องการที่มากขึ้นได้ เช่น ร้องกรี๊ดเรียกแม่ได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ แต่ถ้ามีผู้ปกครองอีกท่านคอยช่วยสังเกตอยู่ด้านหลังก็อาจพิจารณาใช้ได้ในเด็กที่อายุ 6 – 7 เดือนขึ้นไป